บริษัท สัจธรรมกฎหมายและนักสืบ จำกัด , บริการทนาย , ปรึกษากฎหมาย , ปรึกษาทนาย , ทนายความ , หาทนาย , ที่ปรึกษากฎหมาย , ปรึกษาคดี , จ้างทนายความ , สำนักทนายความ , สำนักงานทนายความ , บริษัททนายความ
ReadyPlanet.com
คดีครอบครัว

                                               การจดทะเบียนรับรองบุตร

 

เนื่องจากกฎหมายถือว่าเด็กซึ่งเกิดจากหญิงที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับชาย เป็นบุตรที่ชอบด้วย

กฎหมายของหญิงแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546   “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

 

ดังนั้น เด็กที่เกิดมาจึงไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา แต่กฎหมายเปิดช่องทางที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาอยู่ 3 วิธี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547   “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

1. เมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง

2. บิดาได้จดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตร

3. ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

การรับรองบุตร เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้ ซึ่งวิธีนี้บิดาสามารถจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรของตนโดยไม่ต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็ก โดยบิดาสามารถจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรของตนได้ แต่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็ก โดยเด็กและมารดาต้องไปให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน แต่หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือทั้งสองไม่อาจให้ความยินยอมได้ เช่น มารดาถึงแก่ความตาย หรือเด็กไม่อาจแสดงเจตนาให้ความยินยอมได้ เช่น อายุยังน้อยเกินไปการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548 “ บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก

ในกรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนของบิดาไปยังเด็กและมารดาเด็ก ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายในหกสิบวันนับแต่การแจ้งนั้นถึงเด็กหรือมารดาเด็ก ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กอยู่นอกประเทศไทยให้ขยายเวลานั้นเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน

ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา หรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล

เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้ และบิดาได้นำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนให้

 

 

o   เอกสารที่ใช้

1. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้อง (บิดา) และมารดา

2.ทะเบียนบ้านผู้ร้อง มารดา และบุตร 

3. 3. สูติบัตรบุตร

4. 4. ใบมรณบัตรมารดา (กรณีมารดาเสียชีวิต)

5. 5. หนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล ของผู้ร้อง มารดา หรือบุตร (ถ้ามี)

6. 6. ใบสำคัญการหย่าของมารดา (กรณีมารดาเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน)

 

o   เขตศาล/ระยะเวลาดำเนินการ

ยื่นคำร้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

นับแต่วันที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร ศาลจะนัดไต่สวนคำร้องไม่น้อยกว่า 45 วัน นับแต่วันยื่นคำร้อง และภายในเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ผู้ร้องจะต้องนำบุตรและมารดาของบุตรไปให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เพื่อประมวลและรายงานข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อศาลประกอบในการพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร

 

การตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์

 

บุคคลที่อายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ตามกฎหมายเรียกว่า “ผู้เยาว์” หากผู้เยาว์ต้องทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดา แต่ถ้าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมไม่ได้ จะต้องร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ในการทำนิติกรรม

 

o   ผู้มีอำนาจยื่นคำร้อง

      ญาติของผู้เยาว์

2    บุคคลซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ปกครอง

3    พนักงานอัยการ 

 

o   คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้ปกครอง

1 บรรลุนิติภาวะแล้ว

2 ไม่มีลักษณะต้องห้ามอันได้แก่

·      ผู้ซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ

·      ผู้ซึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย

·      ผู้ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์หรือทรัพย์สินของผู้เยาว์

·      ผู้ซึ่งเคยมีคดีในศาลกับผู้เยาว์ หรือกับผู้บุพการี

·      พี่น้องร่วมบิดามารดา หรือพี่น้อง ร่วมแต่บิดามารดาของผู้เยาว

·      ผู้ซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายทำหนังสือระบุชื่อ ห้ามมิให้เป็นผู้ปกครอง

 

o    ยื่นที่ศาลไหน :  ศาลเยาวชนและครอบครัวในท้องที่ที่มูลคดีเกิด หรือในท้องที่ที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนา

 

o   เอกสารที่ใช้

ผู้เยาว์    - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / สำเนาสูติบัตร / สำเนาทะเบียนบ้าน

   - สำเนาหนังสือรับรองการเปลี่ยนชื่อ - สกุล (หากมี)

 

       บิดามารดาผู้เยาว์   -    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้าน

        -    สำเนาใบมรณบัตรของบิดามารดาเดิม (หากมี)

    -   สำเนาใบสำคัญการสมรส/ใบสำคัญการหย่า (หากมี)

    -    สำเนาใบสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ – ชื่อสกุล (หากมี)


       ผู้จะเป็นผู้ปกครอง     - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

        - สำเนาใบสำคัญการสมรส/ใบสำคัญการหย่า (หากมี)

           -  ใบสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ – ชื่อสกุล (หากมี)

      -  หนังสือให้ความยินยอมของสามี/ภรรยา ของบุคคลที่จะเป็นผู้ปกครอง


ค่าธรรมเนียมศาล : ค่าขึ้นศาล 200 บาท / ค่าส่งคำคู่ความ 500-800

 

 

การฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร

 

ป.พ.พ. มาตรา 1564 บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์

บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้”

ค่าเลี้ยงดูบุตร เรียกได้จนกระทั่งบุตรบรรลุนิติภาวะ คือ จนกระทั่งบุตรมีอายุครบ 20 ปี หรือ บุตรจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย

ป.พ.พ. มาตรา 1598/38 “ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา หรือระหว่างบิดามารดากับบุตรนั้นย่อมเรียกจากกันได้ในเมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ค่าอุปการะเลี้ยงดูนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี”

ป.พ.พ. มาตรา 1598/39 “เมื่อผู้มีส่วนได้เสียแสดงว่าพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีได้เปลี่ยนแปลงไป ศาลจะสั่งแก้ไขในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยให้เพิกถอน ลด เพิ่ม หรือกลับให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกก็ได้
            ในกรณีที่ศาลไม่พิพากษาให้ค่าอุปการะเลี้ยงดู เพราะเหตุแต่เพียงอีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ในขณะนั้น หากพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป และพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของผู้เรียกร้องอยู่ในสภาพที่ควรได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ผู้เรียกร้องอาจร้องขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งในคดีนั้นใหม่ได้”

เรียกย้อนหลังได้หรือไม่ : เรียกย้อนหลังได้ตั้งแต่เด็กเกิด หากบิดาหรือมารดาไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูบุตรเลย 

มีอายุความ 5 ปี นับแต่วันที่บิดาหรือมารดาได้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูไปเพียงฝ่ายเดียว

ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ฟ้องได้หรือไม่ : สามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากบิดาได้ โดยการยื่นฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไปพร้อมกับการฟ้องรับรองบุตรเป็นคดีเดียวกัน

 

o   เอกสารที่ใช้

1. สูติบัตร

2. ใบสำคัญการหย่า และบันทึกท้ายการหย่า (ถ้ามี)

3. ใบทะเบียนรับรองบุตร (ถ้ามี)

4. บัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้าน บิดา มารดา บุตร

5. ภาพถ่ายความสัมพันธ์ของบิดามารดาและบุตร

6. เอกสารแสดงรายจ่ายของบุตร เช่น ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล

7. เอกสารแสดงสถานะบิดามารดา เช่น หลักฐานการทำงาน หลักฐานการศึกษา หลักฐานแสดงรายได้

 

ฟ้องที่ศาลใด : ศาลเยาวชนและครอบครัวที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่

เสียค่าขึ้นศาลเท่าไร  ค่าขึ้นศาล 200 บาท และค่าส่งสำเนาคำร้อง ประมาณ 500 - 800 บาท

 

การรับบุตรบุญธรรม

 

การรับบุตรบุญธรรม หมายถึง การรับลูกของคนอื่นมาเลี้ยงดูเสมือนเป็นลูกของตัวเอง ซึ่งจะต้อง จดทะเบียนจึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการรับเด็กเป็น บุตรบุญธรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/27

 

o   คุณสมบัติของผู้จะรับบุตรบุญธรรม และผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม

1.  ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ตำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุ แก่กว่าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี

2.  ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุไม่ตำกว่า 15 ปี ต้องให้ความยินยอมด้วยตนเอง

3 .  ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอม จากบิดาและมารดา หรือผู้ปกครอง

4.  ผู้จะรับบุตรบุญธรรม หรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรส ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน

5.  ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดอยู่ จะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกในขณะเดียวกันไม่ได้ เว้นแต่

    เป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม

 

o   เอกสารที่ต้องใช้

1.     บัตรประจำตัวประชาชน ของบุตรบุญธรรม ผู้ร้อง

2.     ทะเบียนบ้านของบุตรบุญธรรม ผู้ร้อง

3.     ทะเบียนบ้านของบิดามารดาของบุตรบุญธรรม

4.     สูติบัตรของบุตรบุญธรรม

5.     ใบทะเบียนสมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม (ถ้ามี)

6.     หนังสือให้ความยินยอมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม (กรณีมีคู่สมรส)

7.     หนังสือให้ความยินยอมของบิดามารดาของบุตรบุญธรรม

8.     ใบมรณบัตรของบิดามารดาของบุตรบุญธรรม (กรณีถึงแก่กรรม)

9.     เอกสารการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล (ถ้ามี)

 

o   ยื่นคำร้องที่ศาลไหน

ให้ยื่นต่อศาลคดีเยาวชนและครอบครัวที่บุตรบุญธรรมหรือผู้รับบุตรบุญธรรมมีภูมิลำเนาอยู่

 

o   ผู้ที่ยื่นคำร้องได้

1. มารดาหรือบิดาของผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม

2. ผู้ประสงค์จะขอรับบบุตรบุญธรรม

3. พนักงานอัยการ

การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่ออจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมแล้ว และมีผลทางคดีกฎหมายดังต่อไปนี้

1.     บุตรบุญธรรมมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รู้บบุตรบุญธรรม

2.     ผู้รับบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยชอบธรรม

3.     ถ้าบุตรบุญธรรมตายก่อน ผู้รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเรียกเอาทรัพย์่ที่ให้บุตรบุญธรรมคืนได้

 

o   การเลิกรับบุตรบุญธรรม

1.     คู่กรณีตกลงเลิกรับบุตรบุญธรรมเอง

2.     บุตรบุญธรรมสมรสกบผู้รับบุตรบุญธรรม

3.     ฟ้องคดีเลิกรับบุตรบุญธรรมและศาลพิพากษาให้เลิกรับบุตรบุญธรรมได้

 

 

 

                         การจดทะเบียนรับรองบุตร

 

 

เนื่องจากกฎหมายถือว่าเด็กซึ่งเกิดจากหญิงที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับชาย เป็นบุตรที่ชอบด้วย

กฎหมายของหญิงแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546   “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

 

ดังนั้น เด็กที่เกิดมาจึงไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา แต่กฎหมายเปิดช่องทางที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาอยู่ 3 วิธี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547   “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

1. เมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง

2. บิดาได้จดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตร

3. ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

การรับรองบุตร เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้ ซึ่งวิธีนี้บิดาสามารถจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรของตนโดยไม่ต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็ก โดยบิดาสามารถจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรของตนได้ แต่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็ก โดยเด็กและมารดาต้องไปให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน แต่หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือทั้งสองไม่อาจให้ความยินยอมได้ เช่น มารดาถึงแก่ความตาย หรือเด็กไม่อาจแสดงเจตนาให้ความยินยอมได้ เช่น อายุยังน้อยเกินไปการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548 “ บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก

ในกรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนของบิดาไปยังเด็กและมารดาเด็ก ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายในหกสิบวันนับแต่การแจ้งนั้นถึงเด็กหรือมารดาเด็ก ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กอยู่นอกประเทศไทยให้ขยายเวลานั้นเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน

ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา หรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล

เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้ และบิดาได้นำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนให้

 

 

o   เอกสารที่ใช้

1.      1. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้อง (บิดา) และมารดา

2.      2. ทะเบียนบ้านผู้ร้อง มารดา และบุตร 

3.      3. สูติบัตรบุตร

4.      4. ใบมรณบัตรมารดา (กรณีมารดาเสียชีวิต)

5.      5. หนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ-ชื่อสกุล ของผู้ร้อง มารดา หรือบุตร (ถ้ามี)

6.      6. ใบสำคัญการหย่าของมารดา (กรณีมารดาเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน)

 

o   เขตศาล/ระยะเวลาดำเนินการ

ยื่นคำร้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

นับแต่วันที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร ศาลจะนัดไต่สวนคำร้องไม่น้อยกว่า 45 วัน นับแต่วันยื่นคำร้อง และภายในเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ผู้ร้องจะต้องนำบุตรและมารดาของบุตรไปให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เพื่อประมวลและรายงานข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อศาลประกอบในการพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร

 

การตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์

 

บุคคลที่อายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ตามกฎหมายเรียกว่า “ผู้เยาว์” หากผู้เยาว์ต้องทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดา แต่ถ้าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมไม่ได้ จะต้องร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ในการทำนิติกรรม

 

o   ผู้มีอำนาจยื่นคำร้อง

1         ญาติของผู้เยาว์

2         บุคคลซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ปกครอง

3         พนักงานอัยการ 

 

o   คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้ปกครอง

1 บรรลุนิติภาวะแล้ว

2 ไม่มีลักษณะต้องห้ามอันได้แก่

·      ผู้ซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ

·      ผู้ซึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย

·      ผู้ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์หรือทรัพย์สินของผู้เยาว์

·      ผู้ซึ่งเคยมีคดีในศาลกับผู้เยาว์ หรือกับผู้บุพการี

·      พี่น้องร่วมบิดามารดา หรือพี่น้อง ร่วมแต่บิดามารดาของผู้เยาว

·      ผู้ซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายทำหนังสือระบุชื่อ ห้ามมิให้เป็นผู้ปกครอง

 

o    ยื่นที่ศาลไหน :  ศาลเยาวชนและครอบครัวในท้องที่ที่มูลคดีเกิด หรือในท้องที่ที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนา

 

o   เอกสารที่ใช้

ผู้เยาว์   -  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / สำเนาสูติบัตร / สำเนาทะเบียนบ้าน

  -  สำเนาหนังสือรับรองการเปลี่ยนชื่อ - สกุล (หากมี)

 

       บิดามารดาผู้เยาว์   -     สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้าน

        -     สำเนาใบมรณบัตรของบิดามารดาเดิม (หากมี)

    -     สำเนาใบสำคัญการสมรส/ใบสำคัญการหย่า (หากมี)

    -      สำเนาใบสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ – ชื่อสกุล (หากมี)

       ผู้จะเป็นผู้ปกครอง           -   สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

              -   สำเนาใบสำคัญการสมรส/ใบสำคัญการหย่า (หากมี)

                 -   ใบสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อ – ชื่อสกุล (หากมี)

            -   หนังสือให้ความยินยอมของสามี/ภรรยา ของบุคคลที่จะเป็นผู้ปกครอง


ค่าธรรมเนียมศาล : ค่าขึ้นศาล 200 บาท / ค่าส่งคำคู่ความ 500-800

 

 

การฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร

 

 

 

ป.พ.พ. มาตรา 1564 บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์

บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้”

ค่าเลี้ยงดูบุตร เรียกได้จนกระทั่งบุตรบรรลุนิติภาวะ คือ จนกระทั่งบุตรมีอายุครบ 20 ปี หรือ บุตรจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย

ป.พ.พ. มาตรา 1598/38 “ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา หรือระหว่างบิดามารดากับบุตรนั้นย่อมเรียกจากกันได้ในเมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ค่าอุปการะเลี้ยงดูนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี”

ป.พ.พ. มาตรา 1598/39 “เมื่อผู้มีส่วนได้เสียแสดงว่าพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีได้เปลี่ยนแปลงไป ศาลจะสั่งแก้ไขในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยให้เพิกถอน ลด เพิ่ม หรือกลับให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกก็ได้
            ในกรณีที่ศาลไม่พิพากษาให้ค่าอุปการะเลี้ยงดู เพราะเหตุแต่เพียงอีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ในขณะนั้น หากพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป และพฤติการณ์รายได้หรือฐานะของผู้เรียกร้องอยู่ในสภาพที่ควรได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ผู้เรียกร้องอาจร้องขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งในคดีนั้นใหม่ได้”

เรียกย้อนหลังได้หรือไม่ : เรียกย้อนหลังได้ตั้งแต่เด็กเกิด หากบิดาหรือมารดาไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูบุตรเลย 

มีอายุความ 5 ปี นับแต่วันที่บิดาหรือมารดาได้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูไปเพียงฝ่ายเดียว

ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ฟ้องได้หรือไม่ : สามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากบิดาได้ โดยการยื่นฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไปพร้อมกับการฟ้องรับรองบุตรเป็นคดีเดียวกัน

 

o   เอกสารที่ใช้

1. สูติบัตร

2. ใบสำคัญการหย่า และบันทึกท้ายการหย่า (ถ้ามี)

3. ใบทะเบียนรับรองบุตร (ถ้ามี)

4. บัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้าน บิดา มารดา บุตร

5. ภาพถ่ายความสัมพันธ์ของบิดามารดาและบุตร

6. เอกสารแสดงรายจ่ายของบุตร เช่น ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล

7. เอกสารแสดงสถานะบิดามารดา เช่น หลักฐานการทำงาน หลักฐานการศึกษา หลักฐานแสดงรายได้

 

ฟ้องที่ศาลใด : ศาลเยาวชนและครอบครัวที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่

เสียค่าขึ้นศาลเท่าไร  ค่าขึ้นศาล 200 บาท และค่าส่งสำเนาคำร้อง ประมาณ 500 - 800 บาท

 

การรับบุตรบุญธรรม

 

การรับบุตรบุญธรรม หมายถึง การรับลูกของคนอื่นมาเลี้ยงดูเสมือนเป็นลูกของตัวเอง ซึ่งจะต้อง จดทะเบียนจึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยการรับเด็กเป็น บุตรบุญธรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/27

 

o   คุณสมบัติของผู้จะรับบุตรบุญธรรม และผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม

1.  ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ตำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุ แก่กว่าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี

2.  ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุไม่ตำกว่า 15 ปี ต้องให้ความยินยอมด้วยตนเอง

3 .  ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอม จากบิดาและมารดา หรือผู้ปกครอง

4.  ผู้จะรับบุตรบุญธรรม หรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรส ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน

5.  ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดอยู่ จะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกในขณะเดียวกันไม่ได้ เว้นแต่

    เป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม

 

 

o   เอกสารที่ต้องใช้

1.     บัตรประจำตัวประชาชน ของบุตรบุญธรรม ผู้ร้อง

2.     ทะเบียนบ้านของบุตรบุญธรรม ผู้ร้อง

3.     ทะเบียนบ้านของบิดามารดาของบุตรบุญธรรม

4.     สูติบัตรของบุตรบุญธรรม

5.     ใบทะเบียนสมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม (ถ้ามี)

6.     หนังสือให้ความยินยอมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม (กรณีมีคู่สมรส)

7.     หนังสือให้ความยินยอมของบิดามารดาของบุตรบุญธรรม

8.     ใบมรณบัตรของบิดามารดาของบุตรบุญธรรม (กรณีถึงแก่กรรม)

9.     เอกสารการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล (ถ้ามี)

 

o   ยื่นคำร้องที่ศาลไหน

ให้ยื่นต่อศาลคดีเยาวชนและครอบครัวที่บุตรบุญธรรมหรือผู้รับบุตรบุญธรรมมีภูมิลำเนาอยู่

 

o   ผู้ที่ยื่นคำร้องได้

1. มารดาหรือบิดาของผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม

2. ผู้ประสงค์จะขอรับบบุตรบุญธรรม

3. พนักงานอัยการ

การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่ออจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมแล้ว และมีผลทางคดีกฎหมายดังต่อไปนี้

1.     บุตรบุญธรรมมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รู้บบุตรบุญธรรม

2.     ผู้รับบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยชอบธรรม

3.     ถ้าบุตรบุญธรรมตายก่อน ผู้รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเรียกเอาทรัพย์่ที่ให้บุตรบุญธรรมคืนได้

 

o   การเลิกรับบุตรบุญธรรม

1.     คู่กรณีตกลงเลิกรับบุตรบุญธรรมเอง

2.     บุตรบุญธรรมสมรสกบผู้รับบุตรบุญธรรม

3.     ฟ้องคดีเลิกรับบุตรบุญธรรมและศาลพิพากษาให้เลิกรับบุตรบุญธรรมได้