แค่ไหนถึงเรียกว่า "ชู้" ตามกฎหมาย? พฤติกรรมที่เข้าข่าย 'แสดงตนโดยเปิดเผย'
แยกให้ชัดตามกฎหมาย พฤติกรรมแบบไหนถึงถือว่าเป็นชู้ การแสดงออกที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายจริง
ในสังคมไทย คำว่า "ชู้" เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคู่สมรสที่ถูกนอกใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การจะดำเนินคดีฟ้องชู้ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่สามตามกฎหมายนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าบุคคลนั้น "แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับคู่สมรสในทำนองชู้สาว" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง แล้วพฤติกรรมแบบไหนล่ะที่เข้าข่ายการ "แสดงตนโดยเปิดเผย" ตามที่กฎหมายระบุไว้? บทความนี้จะให้คำตอบและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
ทำความเข้าใจคำว่า "ชู้" ตามกฎหมาย
ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย การกระทำที่เข้าข่ายการเป็นชู้และสามารถฟ้องร้องได้นั้นมีเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ:
- มีการล่วงเกินในทำนองชู้สาว: หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่สามกับคู่สมรสของเรา
- แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับคู่สมรสในทำนองชู้สาว: นี่คือประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ซึ่งเป็นหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดี
หากมีเพียงข้อแรกแต่ไม่มีข้อที่สอง กฎหมายจะไม่ถือว่าบุคคลนั้นเป็น "ชู้" ที่สามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่สามได้ แต่คู่สมรสที่ถูกนอกใจสามารถใช้เหตุผลนี้ในการฟ้องหย่าได้
พฤติกรรมที่เข้าข่าย "แสดงตนโดยเปิดเผย"
คำว่า "แสดงตนโดยเปิดเผย" ไม่ได้หมายถึงแค่การเปิดเผยให้คนทั่วไปรับทราบเท่านั้น แต่หมายถึงพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและลึกซึ้งในลักษณะเดียวกับที่คู่สมรสพึงมีต่อกัน จนบุคคลทั่วไปที่พบเห็นสามารถเข้าใจได้ว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบคู่รัก หรือสามีภรรยา
ตัวอย่างพฤติกรรมที่ศาลเคยตัดสินว่าเข้าข่าย
- การใช้ชีวิตร่วมกัน: เช่น การอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันอย่างเปิดเผย, การพักค้างคืนด้วยกันในสถานที่ต่างๆ เป็นประจำ
- การแสดงความรักในที่สาธารณะ: เช่น การเดินจับมือ, โอบกอด, หรือแสดงพฤติกรรมที่สื่อถึงความสัมพันธ์ทางกายอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ
- การพาไปแนะนำตัวกับครอบครัวและเพื่อน: การพาไปพบปะกับครอบครัว หรือเพื่อนสนิทในฐานะ "คนรัก"
- การใช้คำเรียกขานแทนตัวแบบคู่รัก: เช่น เรียกกันว่า "ที่รัก" "สามี-ภรรยา" หรือคำอื่นใดที่สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
- การใช้คำนำหน้าชื่อร่วมกัน: เช่น การใช้คำว่า "นาย" หรือ "นาง" ร่วมกันในเอกสารบางอย่าง หรือการใช้คำนำหน้าชื่อที่สื่อถึงการเป็นสามีภรรยา
- การเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน: การไปเที่ยวพักผ่อนค้างคืนด้วยกันอย่างเปิดเผยในสถานที่ต่างๆ เช่น รีสอร์ท โรงแรม
- พฤติกรรมที่แสดงความเป็นเจ้าของ: เช่น การดูแลเอาใจใส่กันอย่างเปิดเผยในทำนองที่คู่สมรสพึงกระทำ
ข้อควรระวังในการรวบรวมหลักฐาน
การฟ้องชู้ เป็นคดีแพ่งที่ต้องใช้หลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ การรวบรวมพยานหลักฐานควรทำอย่างรอบคอบ เช่น
- ภาพถ่ายหรือวิดีโอที่แสดงพฤติกรรมข้างต้น
- ข้อความแชทที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวอย่างชัดเจน
- พยานบุคคลที่เห็นพฤติกรรม "แสดงตนโดยเปิดเผย"
- ใบเสร็จรับเงินจากโรงแรมหรือที่พักที่ไปพักค้างคืนด้วยกัน
สิ่งสำคัญคือหลักฐานเหล่านี้ต้องได้มาอย่างถูกกฎหมาย หากได้มาโดยมิชอบ (เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างผิดกฎหมาย) อาจส่งผลเสียต่อรูปคดีได้
สรุป: การจะฟ้องชู้ได้สำเร็จต้องมีทั้งการกระทำชู้สาวและการแสดงตนโดยเปิดเผย ซึ่งต้องใช้พยานหลักฐานที่หนักแน่นและน่าเชื่อถือ การปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเพิ่มโอกาสในการได้รับความเป็นธรรม
สัจธรรมกฎหมายและนักสืบ จำกัด ที่ปรึกษาและผู้ช่วยมืออาชีพ
เมื่อชีวิตคู่ประสบปัญหาอันเจ็บปวดเช่นนี้ การหาผู้ช่วยมืออาชีพที่เข้าใจกฎหมายอย่างลึกซึ้งและมีประสบการณ์ด้านการสืบสวนคดีจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สำนักทนายความ บริษัท สัจธรรมกฎหมายและนักสืบ จำกัด ให้บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางกฎหมายโดยทีมทนายความผู้มีประสบการณ์ด้านคดีครอบครัว การวางแผนการรวบรวมพยานหลักฐานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไปจนถึงการดำเนินการฟ้องร้อง ฟ้องชู้แทนคุณอย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณได้รับความเป็นธรรมและค่าเสียหายตามสิทธิที่พึงได้ โดยทีมงานจะให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาและเป็นความลับ เพื่อให้คุณผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง
ติดต่อสำนักทนายความ บริษัท สัจธรรมกฎหมายและนักสืบ จำกัด